สแลนกรองแสงมีกี่เปอร์เซ็นต์ เลือกยังไงให้เหมาะกับงาน

เลือกสแลนให้ถูก พืชโตดี เพราะสแลนไม่ใช่แค่กันแดด แต่คือเกราะป้องกันผลผลิต

สิ่งที่หน้าสนใจเกี่ยวกับ แสลน(ตาข่ายกรองแสง)

แสลน สีเขียว กับ สีดำ ต่างกันอย่างไร?

เลือกสแลนอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน?

แสลนสามารถกันฝนได้มั้ย?

ติดตั้งแสลนยังไงให้ไม่ขาดง่าย?

ติดตั้งแสลนต้องคำนึงถึงอะไร?

สอบถาม & สั่งซื้อ

แสลนกรองแสงมีกี่เปอร์เซ็นต์ และแต่ละแบบต่างกันอย่างไร?

แสลนกรองแสง หรือตาข่ายกรองแสง มีระดับการกรองแสงให้เลือกหลายระดับ โดยจะวัดเป็น “เปอร์เซ็นต์” (%) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการบังแสงหรือกรองแสงไม่ให้ส่องผ่านเข้ามาโดยตรง เช่น แสลนกรองแสง 80% = สามารถกรองแสงได้ 80% หรือแสงผ่านเข้ามาเพียง 20%

ตารางความแตกต่างของสแลนแต่ละเปอร์เซ็นต์%

ระดับการกรองแสง

ความสว่างที่เหลือง

เหมาะสำหรับ

50% 

แสงผ่าน 50%

พืชต้องการแดดจัด เช่น มะเขือเทศ / ถั่วฝักยาว

60%

แสงผ่าน 40%

พืชที่ชอบแดดกลาง เช่น พริก / แตงกวา

70%

แสงผ่าน 30%

กล้าไม้ / ไม้ประดับทั่วไป

80%

แสงผ่าน 20%

พืชใบกว้าง / กล้วยไม้

“ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูง = แสงผ่านได้น้อย = บังแดดได้มาก แต่ไม่ควรใช้เปอร์เซ็นต์สูงเกินไปกับพืชที่ต้องการแสง เพราะจะทำให้พืชโตช้า”

เคล็ดลับในการเลือกแสลนให้เหมาะกับการใช้งาน

  • ถ้าใช้ใน งานเกษตร: เลือกตามความต้องการแสงของพืช
  • ถ้าใช้ใน งานก่อสร้างหรือบังแดดคน: ควรเลือก 70-80% เพื่อกันความร้อน
  • ถ้าใช้ คลุมพื้นที่กว้างนอกอาคาร: 70–80% จะช่วยลดรังสี UV ได้ดี

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ

แสลนสีเขียวกับสีดำ ต่างกันอย่างไร

แสลนสีเขียว(GREEN Shade Net)

ถ้าต้องการบรรยากาศร่มแต่ยังให้แสงธรรมชาติเข้ามาได้ → ใช้แสลนสีเขียว

คุณสมบัติ:

  • ดูดซับแสงได้น้อยกว่า
  • แสงสามารถลอดผ่านและกระจายได้อย่างนุ่มนวล
  • ให้บรรยากาศสว่างและเย็นตา
  • สีเขียวกลมกลืนกับธรรมชาติ ดูไม่ร้อนตา

เหมาะกับ:

  • โรงเรือนเพาะปลูก
  • พืชที่ต้องการแสงรำไร เช่น ผักใบเขียว, ไม้ประดับ
  • ใช้ในพื้นที่สวน บ้านพัก หรือระแนงไม้เพื่อความสวยงาม

แสลนสีดำ (Black Shade Net)

ถ้าต้องการกันแดดแรง ลดความร้อนมากที่สุด → ใช้แสลนสีดำ

คุณสมบัติ:

  • ดูดซับแสงได้มากกว่า
  • ให้ร่มเงาชัดเจนและลดความร้อนได้ดีกว่าสีอื่น
  • เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการกันแดดจริงจัง

เหมาะกับ:

  • คลุมลานจอดรถ, หน้างานก่อสร้าง
  • พืชที่ไม่ต้องการแสงจัด เช่น กล้วยไม้ หรือกล้าไม้
  • งานทั่วไปที่เน้นบังแดดมากกว่าความสวยงาม

ตารางเปรียบเทียบ สแลนสีเขียว VS สแลนสีดำ

รายการเปรียบเทียบ

แสลนสีเขียว

แสลนสีดำ

การกรองแสง

กรองน้องกว่า

กรองได้มากกว่า

การกระจายแสง

สว่าง นุ่ม นวล

แสงน้อย ร่มเงาชัดเจน

การดูดซับความร้อน

น้อยกว่า

มากกว่า

ความนิยมในงานเกษตร

สูงมาก

สูง (เฉพาะบางพืช)

ความนิยมในการก่อสร้าง / บังแดด

น้อยกว่า

สูงมาก

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ

เลือกสแลนอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน?

การเลือกแสลน (ตาข่ายกรองแสง) ที่เหมาะสม ไม่ได้พิจารณาแค่สีหรือราคาเท่านั้น แต่ต้องดูหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งระดับการกรองแสง (เปอร์เซ็นต์), สี, ขนาด, และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าที่สุด

เลือกจาก “สีของแสลน”

  • สีดำ: ดูดแสงได้ดี เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการร่มเงาสูง เช่น ลานจอดรถ งานก่อสร้าง
  • สีเขียว: เป็นกลาง ใช้ได้ทั้งเกษตรและบังแดดทั่วไป ให้บรรยากาศธรรมชาติ
  • สีฟ้า/สีเงิน: ใช้ตกแต่ง หรือบริเวณที่ต้องการความสว่างและไม่อมความร้อน

เลือกจาก “ขนาดและความกว้าง”

  • แสลนทั่วไปมีความกว้าง 1, 1.5, 2, และ 3 เมตร
  • ความยาวมาตรฐาน 50–100 เมตรต่อม้วน

หากใช้พื้นที่ไม่มาก อาจเลือกแบบ ตัดเมตร ได้ตามต้องการค่ะ

เลือกจากระดับการกรองแสง (เปอร์เซ็นต์%)

ระดับการกรองแสง

ลักษณะแสงที่ผ่าน

เหมาะกับ

50 %

แสงผ่านได้ครึ่งนึ่ง

พืชที่ชอบแดด เช่น พริก มะเขือเทศ

60 %

แสงผ่านได้ 40%

พืชกลางแดด เช่นแตงกวา ถั่วฝักยาว

70 %

แสงผ่าน 30%

ไม้ประดับ กล้าไม้

80 %

แสงผ่าน 20%

พืชใบกว้าง งานบังแดดทั่วไป

เลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

การใช้งาน

คำแนะนำ

งานเกษตร / เพาะปลูก

ใช้แสลน 50-80% ขึ้นอยู่กับชนิดพืช

โรงเรือนเพาะกล้า / กล้วยไม้

ใช้สแลน 70-80% เพื่อป้องกันแสงจัด

คลุมลานจอดรถ / โรงงาน

ใช้แสลน 70-80% เพื่อบังแดดและลดความร้อน

งานก่อสร้าง

ใช้แสลน 70-80% สำหรับบังแดด , กันฝุ่น , และความเป็นส่วนตัว

ตกตแต่งบ้าน / สวนแนวตั้ง

ใช้แสลนสีที่สวยงาม เช่น สีเขียว สีเงิน สีฟ้า แล้วแต่ดีไซน์

เทคนิคเลือกแสลนให้คุ้มค่า:

  • รู้ก่อนว่าจะ ใช้ทำอะไร → เลือกเปอร์เซ็นต์กรองแสงให้เหมาะ
  • เลือก สี ที่เข้ากับงานทั้งเรื่องการใช้งานและความสวยงาม
  • คำนวณพื้นที่หน้างานให้ดี → จะได้เลือกความกว้างและยาวให้พอดี ไม่เหลือทิ้ง

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ

แสลนสามารถกันฝนได้ไหม?

แสลน หรือผ้าตาข่ายกรองแสง ไม่สามารถกันฝนได้ 100% เนื่องจากแสลนมีลักษณะเป็น ตาข่ายที่มีรูโปร่ง ออกแบบมาเพื่อให้แสงและอากาศสามารถลอดผ่านได้ จึงไม่สามารถป้องกันน้ำฝนตกลงมาโดยตรงได้เหมือนวัสดุกันน้ำทั่วไปค่ะ

แล้วแสลนมีประโยชน์อย่างไรเมื่อต้องเจอฝน?

แม้แสลนจะ ไม่กันฝนแบบกันน้ำหยดไม่ให้ผ่านเลย แต่ก็มี ข้อดีในการช่วยลดผลกระทบจากฝน ได้ในบางกรณี เช่น:

  1. ช่วยลดแรงกระแทกของเม็ดฝน

    • เหมาะกับการปกป้อง พืชใบอ่อน, กล้าไม้, หรือดอกไม้ ที่บอบบาง
    • แสลนจะช่วยชะลอความเร็วของเม็ดฝน ลดการกระเด็นหรือใบช้ำจากฝนแรง
  2. ช่วยเบี่ยงทิศทางน้ำฝน

    • เมื่อน้ำฝนตกกระทบแสลน บางส่วนจะกระจายออกด้านข้างทำให้ไม่ตกกระแทกตรงๆ
  3. ระบายน้ำได้ดี ไม่สะสม

    • ด้วยโครงสร้างแบบตาข่าย น้ำฝนจะไม่ขังบนแสลน เหมือนวัสดุกันน้ำอื่นที่ต้องมีการลาดเอียงหรือระบบระบายน้ำ
  4. เมื่อใดที่ “ไม่ควร” ใช้แสลนเป็นวัสดุป้องกันฝน?

    • หากคุณต้องการพื้นที่แห้ง 100% เช่น โรงเก็บของ, พื้นที่จัดงาน, ลานค้าขาย
    • หรือเมื่อต้องการป้องกัน ของเปียก, เครื่องจักร, เครื่องใช้ไฟฟ้า
      ควรเลือกใช้วัสดุที่ “กันน้ำได้จริง” เช่น ผ้าใบพลาสติก แทน
  5. ทางเลือกหากต้องการทั้ง “กันแดด” และ “กันฝน”

    • ใช้แสลนร่วมกับ ผ้าใบพลาสติก PE: แสลนอยู่ด้านล่างเพื่อพรางแสง, ผ้าใบอยู่ด้านบนเพื่อกันฝน
    • ติดตั้งแสลนแบบลาดเอียง เพื่อให้น้ำฝนไหลออกด้านข้าง ไม่กระทบจุดสำคัญโดยตรง
    1.  

“แสลน ช่วยลดผลกระทบจากฝน ได้บางส่วน แต่ ไม่สามารถกันน้ำได้เต็มที่ หากต้องการกันฝนอย่างแท้จริง ควรใช้วัสดุอื่นร่วมด้วยค่ะ”

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ

ติดตั้งแสลนอย่างไรไม่ให้ขาดง่าย

แสลนจะอยู่ทนหรือไม่ “ขึ้นอยู่กับวิธีติดตั้ง” เป็นหลัก การติดตั้งอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุแสลนจากหลักเดือน → หลายปี ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในการซ่อมแซมค่ะ

  1. อย่าดึงแสลนตึงเกินไป

    • แสลนควรมี “ระยะยืดหยุ่น” เล็กน้อย เพื่อรับแรงลมและแรงสั่นสะเทือน
    • ถ้าดึงตึงเกินไป แรงลมจะกระชากจนแสลนขาดหรือตาแสลนปริ
  2. ใช้โครงสร้างยึดที่แข็งแรง

    • ใช้ท่อเหล็ก, โครงเหล็กกล่อง, หรือไม้เนื้อแข็งในการทำโครง
    • โครงที่อ่อนหรือโยกง่ายจะทำให้แสลนเสียดสีจนขาดเร็ว
    • แนะนำให้ใช้ : เคเบิลไทร์, เชือกไนล่อน
  3. ยึดแสลนจาก “ขอบ” ไม่ใช่ “กลางผืน”

    • หากเจาะหรือลากตรงกลางแสลนโดยไม่มีการเสริมแรง จะเกิดจุดฉีกขาดเร็ว
    • ควรใช้วิธียึดที่ ร้อยเชือกจากขอบแสลนเท่านั้น
  4. ติดตั้งให้ลมผ่านได้ ไม่ใช่ต้านลม

    • แสลนมีลักษณะเป็นตาข่าย เพื่อให้ลมผ่านได้ระดับหนึ่ง
  5. ไม่ปล่อยให้แสลนสะบัด หรือเสียดสีกับวัสดุแข็ง

    • หากมีลมแรงควรเพิ่มจุดยึดให้แน่นขึ้น
    • หลีกเลี่ยงให้แสลนเสียดสีกับคาน เหล็ก หรือขอบแหลม เพราะจะทำให้ขาดตรงจุดนั้นก่อนเสมอ

หากต้องติดตั้งในพื้นที่ที่มีลมแรงบ่อย ควรเว้นช่องระบายลมทุก 2-3 เมตรใช้ “เทปเสริมขอบ” หรือ “แผ่น PVC เสริม” ก่อนเจาะรู เพื่อยืดอายุการใช้งาน

แม้แสลนจะผลิตจากพลาสติกที่มีความเหนียวและยืดหยุ่น แต่หากติดตั้งไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้เกิดปัญหา แสลนขาด, ฉีก, หรือเสื่อมสภาพเร็ว ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแดดแรง ลมแรง หรือใช้งานเป็นเวลานาน การติดตั้งแสลนอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แสลนอยู่ได้นาน ทนแดด ทนลม และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ

ติดตั้งแสลนต้องคำนึงถึงอะไร?

การติดตั้งแสลน (ตาข่ายกรองแสง) ไม่ใช่แค่ขึงให้ตึงหรือผูกให้แน่นเท่านั้น แต่ต้อง คำนึงถึงโครงสร้าง สภาพแวดล้อม วัสดุที่ใช้ยึด และความเหมาะสมกับหน้างาน เพื่อให้แสลนใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ขาดง่าย ไม่หลุด และปลอดภัยต่อคนที่อยู่ใต้งานนั้นด้วย

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนและระหว่างการติดตั้งแสลน:

  1. ประเภทของแสลนที่เลือกใช้

    • พิจารณาว่าใช้แสลนกี่เปอร์เซ็นต์ เช่น 50%, 60%,70% หรือ 80% ตามแสงที่ต้องการกรอง
  2. โครงสร้างที่ใช้ติดตั้งต้องแข็งแรง

    • ใช้โครงเหล็ก, ท่อเหล็กกลม, ท่อ PVC หรือไม้เนื้อแข็ง ขึ้นอยู่กับพื้นที่ใช้งาน
    • ควรมีจุดยึดแน่นหนา ไม่โยกหรือหักง่าย เพื่อไม่ให้แสลนถูกลมหรือฝนดึงจนขาด
  3. เว้นช่องลมผ่าน – ลดแรงดึงจากลม

    • ไม่ควรปิดทึบทุกด้าน เพราะจะทำให้ลมดันเข้ามาเต็มที่จนแสลนสะบัดหรือฉีกขาด
    • ควรเว้น “ช่องลมไหลผ่าน” บางส่วน เช่น ด้านข้าง หรือด้านบน-ล่าง
  4. ยึดแสลนด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม

    • ใช้ เชือกไนล่อน หรือเคเบิลไทร์ ในการยึด
    • หลีกเลี่ยงการเจาะกลางผืน หรือใช้ลวด/ตะปูตอกลงบนผ้าโดยตรง เพราะจะทำให้ขาดง่าย
  5. ควรดึงให้ “พอตึง” ไม่ตึงจนเกินไป

    • การดึงแสลนจนตึงเกินไปอาจทำให้เนื้อผ้าฉีกเมื่อเจอลมแรง
    • ควรดึงให้เรียบพอดี และเหลือระยะเผื่อการยืดตัวจากลม-ฝน
  6. ทิศทางการติดตั้งแสลน

    • ในบางพื้นที่ เช่น บริเวณที่โดนแดดช่วงบ่าย ควรติดตั้งแสลนให้ลาดเอียงเพื่อให้แสงสะท้อนลงต่ำ
    • หากติดตั้งบนหลังคา ควรลาดเอียงให้น้ำฝนไหลลง ไม่ขังอยู่บนแสลน
  7. ตรวจเช็กจุดเสียดสีหรือมุมแหลม

    • หลีกเลี่ยงไม่ให้แสลนเสียดสีกับวัสดุแข็ง เช่น ปลายท่อเหล็ก, มุมคม, หรือตะปูยื่น
    • ควรหุ้มจุดเสี่ยงด้วยผ้า เทป หรือยางรอง เพื่อป้องกันการฉีกขาดจากแรงสั่นหรือลมแรง
    • หากต้องติดตั้งในที่มีลมแรง ให้เพิ่มจุดยึดทุก 0.5–1 เมตร และใช้เชือกแบบมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย
    • ตรวจสอบแสลนและโครงสร้างทุก 3–6 เดือน เพื่อซ่อมแซมก่อนเกิดความเสียหาย

การติดตั้งแสลนอย่างถูกวิธี = ยืดอายุการใช้งาน ป้องกันปัญหาแสลนขาด หลุด หรือเสียหาย ทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับพื้นที่ที่ติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรือนเกษตร พื้นที่บังแดด หรือสถานที่ก่อสร้างด้วยค่ะ

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ

สอบถามสินค้า & ขอใบเสนอราคา

↵ย้อนกลับไปยังสารบัญ